จากกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด19 (ศบค.)ได้คลายล็อคให้ผับ บาร์ คาราโอเกะ และอาบอบนวดเปิดให้บริการได้ พร้อมกับให้นักเรียนทุกระดับชั้นเปิดเรียน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นั้น
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา รพ.น่าน ให้ความเห็นว่า การเปิดผับ บาร์ อาบอบนวด ถือเป็นการคลายล็อคเฟส 5 ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ความกังวลใจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คือ การเปิดผับบาร์พร้อมกับการเปิดโรงเรียน แต่เข้าใจว่าศบค.และรัฐบาลอยากให้เศรษฐกิจเริ่มขับเคลื่อน ในเมื่อมีการเปิดไปแล้ว จึงอยากขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยเรียน ว่าไม่ควรเข้าไปในผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด เพราะอาจจะนำเชื้อกลับมาแพร่ให้บุตรหลานได้ มีการคาดการณ์ฉากทัศน์ที่จะทำให้มีการระบาดของโควิดระลอกสองว่า ถ้ามีผู้ป่วยโควิด19 ที่ไม่มีอาการ 1 ราย ซึ่งอาจจะเป็นคนไทย หรือชาวต่างชาติที่อาจจะเริ่มเข้ามาในระยะ Travel bubble(การท่องเที่ยวในประเทศที่ไม่ระบาดเหมือนกัน) แล้วไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยว ผับ บาร์ อาบอบนวด แล้วแพร่กระจายให้กับนักท่องเที่ยวในผับ แล้วนักท่องเที่ยวนำกลับมาส่งต่อให้บุตรหลาน แล้วแพร่กระจายไปในโรงเรียน โดยเฉพาะศูนย์เด็กเล็ก ยากที่ใส่หน้ากากอนามัยได้ตลอดเวลา หรือเด็กวัยรุ่นที่บางครั้งจะมีพฤติกรรมต่อต้านผู้ใหญ่ตามวัย แล้วแอบไปรวมกลุ่มโดยไม่ใส่หน้ากาก อาจจะทำให้เกิดการระบาดแพร่กระจายวงกว้างได้
นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า ทุกวันนี้เริ่มสังเกตุว่าคนเริ่มผ่อนคลายและใส่หน้ากากน้อยลง เพราะลองถอดหน้ากากแล้วก็ไม่มีการระบาด ไปนั่งกินข้าว ไม่รักษาระยะห่าง ก็ไม่มีการระบาด แล้วตอนนี้ เริ่มลองไปผับบาร์ ก็อาจจะยังไม่พบการระบาด จากนั้นผู้คนจะเริ่มประมาทมากขึ้น ตามหลักวิชาการระบาดนั้น การมีพฤติกรรมเสี่ยง ก็เหมือนเชื้อเพลิง ดินปืน ตราบใดที่ยังไม่มีประกายไฟ ก็ยังไม่เกิดเรื่อง แต่ถ้ามีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรืออาการเล็กน้อยเพียง 1รายเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ก็เหมือนประกายไฟ ไปเจอดินปืน จะเกิดการระบาดครั้งใหญ่ ดังนั้นแม้ว่าไม่มีการระบาด เรายังต้องรักษาพฤติกรรมแห่งความปลอดภัยไว้ เราอาจจะยังไม่มีภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) ที่ต้องรอวัคซีนที่กำลังวิจัย แต่เราสามารถสร้าง พฤติกรรมคุ้มกันหมู่ (Herd protective behavior) เพื่อป้องกันการระบาดไว้ได้ ส่วนที่ประเทศไทยทำสำเร็จเพราะคนไทย สร้างพฤติกรรมคุ้มกันหมู่ไว้ได้ 90-95% ทั้งใส่หน้ากาก ล้างมือ ไม่ไปในที่เสี่ยง ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายไม่ได้
“ช่วงที่อันตรายและน่ากลัวต่อการระบาดอีกช่วงคือฤดูฝนต่อฤดูหนาว ซึ่งถ้าอากาศหนาวเย็นและมีความชื้น ทำให้เชื้อไวรัสอยู่ในสภาพแวดล้อมได้นานขึ้นถึง 2-3 วัน ในขณะนี้ฤดูร้อนเชื้อไวรัสอาจจะอยู่ที่พื้นผิวรอบตัวเราได้แค่ 1 วัน ดังที่เราจะพบว่าโรคไข้หวัดใหญ่และโรคหวัดจะระบาดมากในช่วงฤดูหนาว ดังนั้น การเฝ้าระวังและสร้างพฤติกรรมคุ้มกันหมู่จึงต้องทำต่อเนื่องจนกว่าจะมีการผลิตวัคซีนได้ อีกส่วนสำคัญที่รัฐบาลอาจจะลงทุนแล้วคุ้มค่าคือ สนับสนุนให้ทุกคนได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไม่เฉพาะแต่กลุ่มเสี่ยง 7กลุ่ม ที่รัฐบาลสนับสนุนให้ฉีดฟรีอยู่แล้ว เพราะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่นั้น รัฐบาลจะต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปกับการสนับสนุนให้โรงพยาบาลต่างๆตรวจป้ายจมูกหาไวรัสโควิดในคนป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ทุกราย รวมทั้งเด็กนักเรียนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จะต้องคิดว่าเป็นโรคโควิดไว้ก่อน แล้วแยกกักกันโรคจนกว่าจะทราบผลการตรวจ ในระหว่างนั้นโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็กต่างๆเกิดความวุ่นวาย ยังไม่นับรวมถึงความวุ่นวายถ้าคนทำงานในสำนักงาน ส่วนราชการต่างๆที่อาจจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ซึ่งสับสนกับไวรัสโควิดได้ ส่งผลให้โรงพยาบาลจะมีภาระงานที่เพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเฉพาะปีนี้ ที่เป็นปีแห่งการระบาดของโคโรน่าไวรัส รัฐบาลจึงควรจะสนับสนุนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีในคนไทยทุกคน” นพ.พงศ์เทพ กล่าว