พลโทสมชาติ หรุ่นศิริ ประธานสำนักงานคณะกรรมการธรรมาภิบาลแห่งชาติ ได้เปิดเผยว่า “ หลังจากได้ตรวจสอบสัญญาการเช่าพื้นที่ของศูนย์ซ่อมเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) ซึ่งทราบว่าปัจจุบันนี้เหลือเพียงแห่งเดียวที่เปิดให้บริการที่อู่ตะเภา ซึ่งเดิมนั้นมีอยู่สองแห่งคือที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง และที่อู่ตะเภา แต่สำหรับที่ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองนั้น ได้หมดสัญญาเช่ากับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงคงเหลือเพียงศูนย์ซ่อมบำรุงของฝ่ายช่างการบินไทยที่อู่ตะเภาเท่านั้น
พลโทสมชาติ หรุ่นศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อได้ตรวจสอบสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ พบว่าสัญญาจะสิ้นสุดในปี ๒๕๗๕ ซึ่งเหลืออายุของสัญญาอีก ๑๑ ปี ถือว่าควรจะได้รับการคุ้มครองไปจนกว่าจะสิ้นสุดตามอายุของสัญญา ถึงแม้ว่าบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะอยู่ในระหว่างจัดทำแผนฟื้นฟูสภาพหนี้สินที่มีอยู่แต่ก็อยู่คนละส่วนที่เกิดขึ้น
ประธานสำนักงานคณะกรรมการธรรมาภิบาลแห่งชาติ กล่าวต่ออีกว่า “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรจะดูในรายละเอียดของเนื้องานว่า ศูนย์ซ่อมบำรุงของฝ่ายช่างการบินไทย เป็นศูนย์ซ่อมเพียงแห่งเดียวที่สามารถเพิ่มรายรับและหารายได้ นโยบายการบริหารหนี้สินจะมุ่งเน้นการขายทรัพย์สินอันเป็นสมบัติของชาติมาเพื่อชดใช้หนี้เพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอ เพราะการซื้อมาแพงและเมื่อขายออกไปเป็นราคาที่ต่ำลง หนี้นี้ก็คงใช้ไม่หมดภาระหนี้ก็ย่อมต้องตกเป็นของประชาชนคนไทยอีกต่อไป การเพิ่มรายรับให้ได้มากที่สุดจึงจะบรรเทาหนี้สินลงได้ สัญญาเช่าที่อู่ตะเภากับกรมธนารักษ์เหลืออีก ๑๑ ปี ต้องใช้ประโยชน์กับระยะเวลาที่เหลืออยู่ เพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพนักงาน เพิ่มงานเพื่อให้เพิ่มรายได้จึงจะเป็นช่องทางในการลดภาระหนี้สิน ธรรมาภิบาลแห่งชาติเห็นว่าการจะยกเลิกสัญญาเช่าโดยฉับพลันนั้น ไม่เกิดความเป็นธรรมกับผู้ปฏิบัติงาน และเป็นการบริหารงานที่ขัดกับหลักธรรมาภิบาล จึงยื่นศาลปกครองเพื่อขอให้คุ้มครองสัญญาเช่าตลอดอายุของสัญญาที่ยังคงมีอยู่