มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) ร่วมเป็นเจ้าภาพ จัดโครงการฝึกอบรมนานาชาติ เรื่อง Climate Smart Agriculture: Smart Farming Practices Online Workshop สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ มีผู้สนใจจาก 8 ประเทศ 70 คน เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษณะเดช เจริญสุธาสินี หัวหน้าสถานวิจัย สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ ศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ศูนย์ SEAMEO STEM-ED) องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนิเวศวิทยาพยากรณ์และการจัดการ จัดโครงการฝึกอบรมนานาชาติ เรื่อง เกษตรกรรมแบบอัจฉริยะเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : การฝึกปฏิบัติการจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะ (Climate Smart Agriculture: Smart Farming Practices Online Workshop) ระหว่างวันที่ 6-24 กันยายน 2564 โดยมีผู้สนใจ 70 คน จาก 8 ประเทศ ประกอบด้วย จีน บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนามและไทย เข้าร่วมอบรมผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้สถานที่ในการถ่ายทอดสดการอบรม จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และสวนส้มโอทับทิมสยาม จังหวัดนครศรีธรรมราช
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษณะเดช กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญในการถ่ายทอดประสบการณ์องค์ความรู้ด้านการเกษตรอัจฉริยะของประเทศไทยให้แก่ผู้เข้าร่วมอบรม ตอบสนองต่อความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเสริมสร้างความร่วมมือในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในภาคการเกษตร ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมด้านความมั่นคงอาหาร ที่สำคัญยังสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวทาง ของ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ ข้อที่ 2 ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงด้านอาหาร และปรับปรุงโภชนาการ และส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน และข้อที่ 17 เสริมสร้างวิธีการดำเนินการและฟื้นฟูความเป็นหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
สำหรับกิจกรรมในการอบรมมีการเวิร์กช็อปในหัวข้อต่างๆ อาทิ การใช้นวัตกรรมทางการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม การใช้การพยากรณ์อากาศในการเพาะปลูก เรียนรู้ผลกระทบจากสภาพอากาศ การใช้เทคโนโลยีช่วยในการพยากรณ์อากาศและระบบเตือนภัย การลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศแปรปรวน การใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์ and IoT (Internet of Things) ฯลฯ
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษณะเดช กล่าวต่อไปอีกว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตพืชผลทางการเกษตร ดังนั้นการทำการเกษตรอัจฉริยะจึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญของการทำการเกษตรในศตวรรษที่ 21 หากเกษตรกรใช้เทคโนโลยีที่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำ มีเทคนิคในการตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง จะช่วยลดต้นทุนและสามารถควบคุมคุณภาพผลผลิต สร้างมาตรฐานการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนิเวศวิทยาพยากรณ์และการจัดการ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการนำเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ สถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ สถานีวัดดินที่มีเซนเซอร์วัดความชื้นในดิน เซนเซอร์วัดอุณหภูมิดินและค่าความชื้นที่ผิวใบ เซนเซอร์ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ กล้องบันทึกภาพสิ่งแวดล้อม IoT เทคโนโลยีในการเกษตร เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลสภาพอากาศและดินที่ใช้สำหรับการทำเกษตรอัจฉริยะ ซึ่งการฝึกอบรมในครั้งนี้คาดว่าผู้เข้าอบรมจะนำความรู้ที่ได้รับ ไปต่อยอดการทำเกษตรสมัยใหม่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและพัฒนาระบบเกษตรในประเทศของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป”รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษณะเดช กล่าว