เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2564 มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ร่วมกับ มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จัดเสวนาออนไลน์หัวข้อ “ความรุนแรงทางเพศกับการเข้าถึงความยุติธรรมในช่วงโควิด” โดยนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกันยาวนานขึ้น ประกอบกับความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหาทะเลาเบาะแว้ง เกิดความรุนแรงทั้งทางร่างกาย ความรุนแรงทางเพศ ปรากฏในพื้นที่สาธารณะ และออนไลน์ แต่ที่น่าห่วงคือสถานการณ์โควิดกลับทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมยากขึ้นด้วย
ดังนั้น สค.จึงได้ปรับปรุงกระบวนการช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวพ.ศ.2550 ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุ การเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย การซักซ้อมแนวทางและกำชับให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือทันทีโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหาย มีการเสริมพลัง Empowerment ฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้เสียหาย ประสานทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย และส่งต่อตามสภาพความจำเป็นของปัญหา เช่น การให้บริการด้านกาย จิต สังคม กฎหมาย และการติดตามและประเมินผลต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการชดเชยเยียวยา เกิดกลไกศูนย์เรียนรู้อบรมทักษะอาชีพ มีทุนประกอบอาชีพ มีรายได้
“สิ่งสำคัญคือหากพบเห็นความรุนแรงในครอบครัวอย่านิ่งเฉย สามารถติดต่อสายด่วน1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอรับบริการให้คำปรึกษาด้านสตรีและครอบครัวโดยผู้เชี่ยวชาญได้ที่ไลน์แอดแฟมิลี่ (@linefamily) และเว็บไซต์เพื่อนครอบครัว (www.เพื่อนครอบครัว.com)” นางจินตนา กล่าว
ด้าน น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มูลนิธิฯ พบปัญหาความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น และได้ให้ความช่วยเหลือหลายเคส เช่น ข้าราชการชายข่มขืนผู้หญิง อาศัยเงื่อนไขโควิดประวิงเวลา ถ่วงคดีไม่ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ทำให้คดีอาญา ความผิดทางวินัย เป็นไปได้ล่าช้า นอกจากนี้ยังมีกรณีชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายภรรยาสาหัสและนำทรัพย์สินหลบหนีไป ทั้งยังใช้สื่อออนไลน์กล่าวหาใส่ร่าย เผยแพร่ภาพทำให้อับอาย จนแม่ฝ่ายหญิงต้องก้มลงกราบตำรวจเพื่อให้รับแจ้งความ และมีกรณีพ่อข่มขืนลูก เป็นต้น ขณะเดียวกันการระบาดของโควิด ทำกระบวนการทางกฎหมายล่าช้า ยุ่งยากในการเลื่อนนัดฟังคดี ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น บางกรณีนำมาสู่การเสียชีวิตได้
“ปัญหาที่เราเจอคือ เมื่อผู้ถูกกระทำไปแจ้งความ พนักงานสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่รับเรื่องบางคน ยังเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้มีการแก้กฎหมายแล้ว คือคดีข่มขืนทางเพศยอมความไม่ได้ สอดคล้องกับข้อมูลที่เครือข่ายผู้ก้าวข้ามความรุนแรง สะท้อนว่าตำรวจต้องมีความเข้าใจ รีบเร่งรัดดำเนินคดี มีบริการที่เป็นมิตร ไม่ตำหนิไม่ตีตรา เพื่อป้องกันสถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงแก่ความตาย กรณีผู้เสียหายเป็นผู้พิการควรให้มีล่ามบริการ ที่สำคัญตำรวจต้องไม่เกรงใจผู้ที่มีสถานะเหนือกว่าทางสังคม ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ สอบถามสืบค้น ต้องมีทักษะช่วยเหลือได้ทันท่วงที และฝากถึงผู้ถูกกระทำความรุนแรงต้องกล้าลุกมาปกป้องสิทธิของตัว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลดทอนความกลัว ความอาย ผู้ที่ควรอายต้องเป็นผู้กระทำความผิด เพราะมีโทษตามกฎหมาย” น.ส.สุเพ็ญศรี กล่าว
ขณะที่นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวว่า มีข้อมูลทางเศรษฐกิจชัดเจนว่าความรุนแรงในครอบครัว ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ประเทศ 0.5% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งช่วงสถานการณ์โควิด ได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับกลไกการบริหารจัดการ กำลังคน เป็นไปด้วยความล่าช้าไม่ถูกคลี่คลาย จนนำไปสู่การถูกกระทำซ้ำ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีการขอความช่วยเหลือผ่านโซเซียลมีเดียเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะคนพึ่งระบบราชการไม่ได้ หรือหน่วยงานรัฐไม่ตอบสนองให้ความช่วยเหลือที่ถูกต้องทันท่วงที ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับระบบเพื่อรองรับกับสถานการณ์ความรุนแรงในยุคโควิดให้มากกว่านี้
“สถานการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นนี้ เรายังไม่นับคดีความอีกจำนวนมากที่ค้างอยู่และถูกเลื่อนออกไปให้ล่าช้าเลย เช่น คดีอาญาถูกเลื่อนออกไปไม่น้อยกว่า 6 เดือน ส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรม กระทบต่อการบำบัดฟื้นฟูผู้เสียหาย แม้ว่าหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจะพยายามใช้ระบบการรับคดีและการพิจารณาคดีแบบออนไลน์ เช่น ศาลยุติธรรม แต่บางหน่วยยังขาดระเบียบรองรับ ขาดทั้งเรื่องเทคโนโลยี กำลังคน และงบประมาณ สะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างเพียงพอ ในท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นายณัฐวุฒิ กล่าว