รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ คือ การสนับสนุนจากรัฐบาล การพัฒนาคุณภาพของสถานพยาบาล และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ป่วย ครอบครัวและบุคลากรด้านสุขภาพมาร่วมงานกันในฐานะเจ้าของสุขภาพระบบ
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 ที่ โรงแรมสุโกศล กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมปาฐกถาในการประชุม The Regional Meeting – Catalyzing Integrated Approach to Quality of Care, Patient Safety and Infection Prevention and Control หัวข้อเรื่อง “Integrated approach on quality of care, patient safety, and infection prevention and control to promote health system strengthening and universal health coverage” ว่า การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ด้านคุณภาพการดูแล (Quality of Care; QoC) ความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient safety) และการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ (Infection Prevention and Control; IPC) เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานในการเสริมสร้างสุขภาพระบบและสนับสนุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคน
ประเทศไทยมีการบูรณาการเรื่องคุณภาพการดูแล ความปลอดภัยของผู้ป่วย และการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในระบบบริการสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เราประสบความสำเร็จในการออกแบบ UHC ให้ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ สามารถดูแลผู้ป่วยโควิดให้ได้รับการคุณภาพในการดูแล และมีความปลอดภัย ทั้งผู้ป่วย ครอบครัวและบุคลากรด้านสุขภาพ ความปลอดภัยคือการไม่มีอันตรายที่สามารถป้องกันได้ผู้ป่วย ครอบครัว และบุคลากร ในระหว่างกระบวนการให้บริการด้านสุขภาพบริการ โดยการติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์สำคัญที่ป้องกันได้ ในสถานการณ์โควิดการมีระบบป้องกันและควบคุมการติดเชื้อที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นต้องมีอยู่ในทุกสถานพยาบาล
สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยและคุณภาพของผู้ป่วยดีขึ้น การดูแลเป็นองค์ประกอบสำคัญในการก้าวไปสู่ UHC และที่จำเป็นในการได้รับและรักษาความไว้วางใจจากประชาชนในเรื่องสุขภาพระบบต่างๆ ระบบสุขภาพของไทยให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยเป็นอย่างสูง ซึ่งสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์กรมหาชน) หรือ สรพ.ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยใช้กระบวนการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลมาเป็นแนวทางในการสนับสนุนการทบทวนกลไกการประกันคุณภาพ นอกจากนี้ประเทศไทยได้มีการประกาศนโยบาย Patient and Personnel Safety หรือ 2P Safety โดยการมีส่วนร่วมของ ผู้ป่วย ครอบครัว บุคลากรด้านสุขภาพ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยและสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัย ในทุกสถานพยาบาล
ด้านแพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล กล่าวว่าWorld Health Organization, South East Asia Regional หรือ SEARO ให้ความสำคัญกับประเด็นความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety) ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก อันเป็นพื้นฐานในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบบริการสุขภาพ และเป็นหัวใจของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC) การขยายการเข้าถึงให้ครอบคลุมจะเพิ่มคุณค่าและสร้างความไว้วางใจกับประชาชน หากบริการสุขภาพที่เข้าถึงมีคุณภาพและความปลอดภัย องค์การอนามัยโลกจึงมีการจัดทำแผนปฏิบัติการความปลอดภัยของผู้ป่วย หรือ Global Patient Safety Action Plan 2021 – 2030 โดยมีการประกาศในการประชุม World Health Assembly ครั้งที่ 74 (WHA74) เพื่อสื่อสารให้ประเทศสมาชิกร่วมขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ในปี 2565 จึงมีการจัดการประชุมระดับภูมิภาคสำหรับประเทศสมาชิก SEARO เพื่อรวบรวมงาน ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการดูแล ความปลอดภัยของผู้ป่วยและการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ (IPC) ในภูมิภาคโดยมุ่งเน้นที่การบูรณาการและขับเคลื่อนโดยการดูแลสุขภาพและสุขภาพเบื้องต้นตามแนวทาง การเสริมสร้างระบบที่ SEARO ดำเนินการใน 3 หัวข้อ ได้แก่ คุณภาพการดูแล (Quality of Care; QoC) ความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient safety) และการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ (Infection Prevention and Control; IPC) WHO ได้มีการประสานงานความร่วมมือในการจัดการประชุมมาที่ สรพ. เพื่อร่วมจัดการประชุม ที่ประเทศไทย ในวันที่ 10-12 ตุลาคม พ.ศ. 2565 โดยประเทศที่เข้าร่วมการประชุมจะสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างที่ดี และการแบ่งปันประสบการณ์ของประเทศไทย สรพ. จึงร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวกับ WHO SEARO และ WHO Thailand โดยมีสมาชิกในกลุ่ม SEARO ผู้แทนประเทศต่างๆเข้าร่วมการประชุม จำนวน 50 ท่าน ได้แก่ สมาชิกในกลุ่ม SEARO โดยมีผู้แทนประเทศต่างๆ ในภูมิภาค 11 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ภูฏาน เกาหลี อินเดีย มัลดีฟส์ เมียนมาร์ เนปาล ศรีลังกา ติมอร์ตะวันออก จำนวน 33 คน และเจ้าหน้าที่
และคณะผู้บริหารจาก WHO SEARO, เจ้าหน้าที่ WHO Thailand และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน